วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เทคโนโลยีแห่งอนาคต ขับเคลื่อนสังคมโลกยุคใหม่!

เทคโนโลยีแห่งอนาคต ขับเคลื่อนสังคมโลกยุคใหม่! 

          ยักษ์สีฟ้า "ไอบีเอ็ม" บริษัทคอมพิวเตอร์และไอทีระดับโลก เผยรายงานคาดการณ์การใช้เทคโนโลยียุคใหม่พัฒนาสังคมโลกในแง่มุมต่าง ๆ ในอนาคตอีก 5 ปีนับจากนี้ ทั้งด้านพลังงาน การคมนาคม โครงสร้างสาธารณูปโภค งานวิศวกรรม รวมทั้งการปกป้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สิน และรับมือภัยธรรมชาติ!

           สู่ยุค "รถ" ไม่ง้อก๊าซ-น้ำมัน

          ภายใน 2 ทศวรรษข้างหน้า มีการคาดการณ์ว่าจะมีรถยนต์บนท้องถนนทั่วโลกมากกว่า 2,000 ล้านคัน ในขณะเดียวกัน รถยนต์รุ่นประหยัดพลังงานและรถยนต์ที่ใช้พลังงานลูกผสม หรือ "ไฮบริด" ก็จะมีใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่รองรับระบบขนส่งมวลชนที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ก็จะมีการพัฒนาอย่างกว้างขวางเช่นเดียวกัน

          อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการใช้พลังงานอีก 5 ปีข้างหน้า คาดว่ารถยนต์-รถประจำทางจะไม่ต้องพึ่งพาการใช้พลังงานจากน้ำมันและก๊าซอีกต่อไป

          เหตุเพราะรถยนต์อนาคตจะใช้พลังงานจาก "แบตเตอรี่" ชนิดใหม่ ซึ่งรองรับการใช้งานได้นานหลายวันหรือหลายเดือน ก่อนที่จะมีการชาร์จไฟอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับรถว่าใช้งานบ่อยแค่ไหน 

          ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังออกแบบแบตเตอรี่ชนิดใหม่ ที่ทำให้รถยนต์วิ่งได้ไกลถึง 400-800 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่วิ่งได้แค่ 80-160 กิโลเมตร

          โครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ตามเมืองใหญ่จะช่วยให้รถยนต์สามารถชาร์จไฟในที่สาธารณะ และแม้กระทั่งใช้ "พลังงานทางเลือก" ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น พลังงานลม เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ โดยไม่ต้องพึ่งพาโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากถ่านหินอีกต่อไป 

          วิธีนี้ จะช่วยให้แต่ละเมืองสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ ควบคู่ไปกับการลดมลภาวะทางเสียง เพราะเครื่องยนต์ไฟฟ้าเดินเงียบมาก

           แบตเตอรี่แรงสูง

          นักวิทยาศาสตร์ไอบีเอ็มและองค์กรพันธมิตร กำลังทำงานร่วมกันเพื่อปรับปรุงแบตเตอรี่ให้ดีขึ้น โดยเน้นหนักที่เทคโนโลยี "ลิเธียมแอร์" (Lithium Air) เพื่อให้แบตเตอรี่ที่ใช้ขับเคลื่อนรถยนต์และรถประจำทาง สามารถเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานได้มากถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ลิเธียมไออ้อน ซึ่งใช้ในรถไฟฟ้าและรถไฮบริดในปัจจุบัน

          เนื่องจากแบตเตอรี่รุ่นใหม่นี้จะมีน้ำหนักเบากว่า ปลอดภัยกว่า และราคาถูกกว่า ดังนั้น จึงอาจเห็น "รถยนต์ไฟฟ้าแบบ 4 ที่นั่ง" สามารถวิ่งได้หลายร้อยกิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง และแทนที่จะต้องเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมัน รถยนต์เหล่านี้ จะสามารถชาร์จไฟที่บ้านโดยใช้เต้าเสียบปลั๊กไฟรุ่นใหม่ 

          ความพยายามต่อเรื่องดังกล่าวต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของ ไอบีเอ็มและองค์กรพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในหลายๆ ด้าน เช่น ด้านวัสดุศาสตร์ นาโนเทคโนโลยี เคมีสีเขียว (Green Chemistry) และ ซูเปอร์คอมพิวติ้ง เป็นต้น



           "พลังงานทางเลือก" ขับเคลื่อนรถ 

          จะเริ่มมีการใช้พลังงานทางเลือกอื่น ๆ เช่น พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อขับเคลื่อนรถยนต์และรถประจำทางแทนการใช้ก๊าซ 

          นั่นหมายถึง รถยนต์ทุกคันภายในเมือง ตั้งแต่รถประจำทางไปจนถึงรถเก็บขยะ สามารถใช้ "เชื้อเพลิง" จากพลังงานส่วนเกินที่ได้มาจากแผงโซลาร์เซลล์ หรือพลังงานลม

          ทุกวันนี้ ไอบีเอ็มและทีมงานสถาบันวิจัยเอดิสัน ประเทศเดนมาร์ก กำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ เพื่อรองรับการใช้รถไฟฟ้าจำนวนมาก 

          ปัจจุบัน ในเกาะบอร์นโฮล์ม (Bornholm) ของประเทศเดนมาร์ก มีการใช้งานพลังงานลม ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่ใช้พลังงานลมเป็นส่วนใหญ่ โดยทีมงานได้สร้างระบบทดสอบ เพื่อศึกษาว่าระบบพลังงานดังกล่าวจะทำงานอย่างไรเมื่อรถไฟฟ้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

          นอกจากนั้น นักวิจัยจากไอบีเอ็มเดนมาร์ก และจากศูนย์วิจัยของไอบีเอ็มที่เมืองซูริก กำลังประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีอัจฉริยะ ที่เชื่อมโยงการชาร์จไฟสำหรับรถไฟฟ้าเข้ากับส่วนของพลังงานลมภายในโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าเช่นเดียวกัน 

           "อาคาร" มีชีวิต

          ด้วยจำนวนผู้คนที่เข้าพักอาศัยและทำงานตามอาคารสูง ๆ ในเมืองใหญ่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ การสร้างและพัฒนาระบบให้กับอาคารต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นด้วยแนวคิดที่ชาญฉลาด 

          ปัจจุบันระบบต่าง ๆ ที่อยู่ภายในตัวอาคาร เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบประปา ระบบท่อระบายน้ำ ระบบไฟฟ้า ฯลฯ ต่างทำงานแยกส่วนจากกัน นอกเหนือจากนั้นในแต่ละปี อาคารเหล่านี้ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกสู่บรรยากาศมากกว่ารถยนต์เสียอีก

          ในอนาคต ระบบต่าง ๆ ภายในอาคารจะทำงานเชื่อมโยงประสานกันแบบ "รวมศูนย์" เทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยบริหารจัดการสำนักงาน อพาร์ตเมนต์ บ้าน คลังสินค้า และโรง งานทุกประเภท จะทำงานได้ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต ที่สามารถรับรู้และตอบสนองมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ เพื่อปกป้องผู้คนที่พักอาศัยหรือทำงานภายในอาคารให้มีความปลอดภัย อีกทั้งยังช่วยประหยัดทรัพยากร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศอีกด้วย

          อาคารเก่าจะได้รับการบูรณะปรับปรุง ส่วนอาคารสมัยใหม่จะได้รับการพัฒนา ด้วยระบบประหยัดพลังงานที่เชื่อมโยงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ทำงานเชื่อมโยงร่วมกันได้อย่างชาญฉลาด

          ทุกสิ่งภายในอาคาร ตั้งแต่เรื่องอุณหภูมิ ไฟฟ้า การระบายอากาศ ไปจนถึงการจัดการระบบน้ำ การจัดการขยะ ระบบโทรคมนาคม และระบบรักษาความปลอดภัย จะมีการผนวกรวมเข้าด้วยกัน เพื่อการบริหารจัดการและควบคุมที่มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น 

          "ระบบอัจฉริยะ" ภายในอาคารจะช่วยเตือนให้การซ่อมบำรุงอุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถทำได้ก่อนที่จะเกิดการชำรุดเสียหาย และยังช่วยให้หน่วยฉุกเฉินสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างฉับไว อีกทั้งเจ้าของและผู้ใช้งานภายในอาคาร ยังสามารถตรวจสอบระดับการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซคาร์บอนของอาคารได้ในแบบเรียลไทม์

          "เซ็นเซอร์" หลายพันตัวภายในอาคารจะควบคุมตรวจสอบทุกสิ่งภายในอาคาร ตั้งแต่ความเคลื่อนไหวและอุณหภูมิ ไปจนถึงความชื้น การเข้าใช้พื้นที่ และแสงสว่าง 

          อาคารต่าง ๆ ไม่ได้เพียงอยู่ร่วมและทำงานเกี่ยวโยงกับธรรมชาติ แต่จะใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างเหมาะสมอีกด้วย


           สุดยอดเทคโนฯ รับมือภัยคุกคาม

          ภายใน 5 ปีข้างหน้า เมืองต่าง ๆ จะสามารถป้องกันอาชญากรรมและภัยพิบัติ ได้อย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ด้วยประโยชน์จาก "เทคโนโลยีขั้นสูง" ที่ใช้ในการตรวจจับและคาดการณ์ เกี่ยวกับภัยคุกคามและเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น 

           ปัจจุบัน กรมตำรวจประจำเมืองเอ็ดมอนตัน ประเทศแคนาดา ใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจของไอบีเอ็ม เพื่อช่วยลดจำนวนอาชญากรรม เพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน และความปลอดภัยให้แก่ประชาชน

           ด้วยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด หน่วยงานดังกล่าวใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อดูข้อมูลที่ใกล้เคียงเวลาจริง (เรียลไทม์) และส่งข้อมูลเรื่องอาชญากรรมให้แก่ตำรวจที่กำลังออกตรวจตราดูแลความสงบเรียบร้อยโดยตรง หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จะสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อระบุปัญหา แนวโน้มที่เกี่ยวข้อง และสถานที่เกิดอาชญากรรม เพื่อหาวิธีรับมือและแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที 

           นอกจากนี้ หน่วยงานดังกล่าวยังสามารถประเมินผลและตรวจสอบระยะเวลาในการตอบสนองเมื่อได้รับการแจ้งเหตุ เช่น ความล่าช้าในการจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปยังสถานที่เกิดเหตุ และระยะเวลา เดินทาง เพื่อระบุปัญหาที่มีผลกระทบต่อเวลาที่ใช้การตอบสนองโดยรวม 

           โซลูชั่นการรักษาความสงบเรียบร้อยโดยอาศัยการคาดการณ์ล่วงหน้า (Predictive Policing) เช่น ระบบวิเคราะห์ข้อมูลอาชญากรรม ได้รับการยอมรับเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก เพราะเป็นแนวทางใหม่ ที่จะช่วยให้ผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลประวัติที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น การกระทำความผิด การจับกุม และบันทึกการแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย เพื่อระบุแบบแผนและอัตราการเกิดอาชญากรรมได้อย่างแม่นยำ เป็นต้น 

           การเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็วนี้เอง ช่วยให้ตำรวจสามารถทำงานได้ชาญฉลาดมากขึ้น และตัดสินใจได้อย่างทันท่วงทีเพื่อรับมืออาชญากรรมทุกรูปแบบ


           "ดับเพลิง" ไฮเทค
          
          หน่วยดับเพลิงแห่งนครนิวยอร์ก (FDNY) ได้ไว้วางใจให้ไอบีเอ็ม ช่วยพัฒนาระบบที่ทันสมัยสำหรับการเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลร่วมกันในแบบเรียลไทม์ เพื่อป้องกันเหตุเพลิงไหม้ และคุ้มครองเจ้าหน้าที่ดับเพลิง รวมถึงเจ้าหน้าที่หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยอื่นๆ เมื่อมีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้น

          ระบบวิเคราะห์ข้อมูลและตรวจสอบอาคาร ของ FDNY จะใช้เทคโนโลยี "บิสซิเนส อินเทลลิเจนซ์" ประกอบกับการสร้าง "แบบจำลองการคาดการณ์" และระบบวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เพื่อคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับความเสี่ยงของ "อัคคีภัย" และช่วยวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น 

          ขณะเดียวกันก็ช่วยปรับปรุงกระบวนการที่ช่วยลดความเสี่ยง เช่น การเก็บรวบรวมและการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจสอบอาคาร ใบอนุญาต และการทำผิดกฎหมายในรูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น 

          โครงการนี้ ช่วยปรับปรุงการติดต่อสื่อสาร การใช้ข้อมูลร่วมกัน และการประสานงานเกี่ยวกับการตรวจสอบเพลิงไหม้ และข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างอาคาร/สถานที่เกิดเหตุ ภายในแผนกต่างๆ ของ FDNY รวมทั้งระหว่าง FDNY กับหน่วยงานอื่นๆ ในนครนิวยอร์ก เช่น หน่วยงานโยธา หน่วยงานผังเมือง หน่วยงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และผู้รับเหมาก่อสร้าง เป็นต้น 

           ระบบควบคุม "อุทกภัย" อัจฉริยะ 

          ความเสียหายจากภัยน้ำท่วมใหญ่ หรืออุทกภัย อาจกลายเป็นอดีต เพราะเมืองต่าง ๆ ในอนาคตจะพัฒนาระบบตรวจสอบและแจ้งเตือนเกี่ยวกับ "เขื่อน" เพื่อกันน้ำท่วม ซึ่งครอบคลุมระบบที่ทำงานระยะไกลในแบบเรียลไทม์ เช่น "เซ็นเซอร์อัจฉริยะ" จะถูกติดตั้งบนเขื่อนกันน้ำท่วมตลอดแนวชายฝั่งและแม่น้ำลำคลอง เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจำนวนมหาศาลสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยในการคาดการณ์และป้องกันก่อนที่อุทกภัยจะเกิดขึ้น

          กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก ที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลและที่ราบลุ่มแม่น้ำ มีความเสี่ยงสูงที่จะประสบเหตุอุทกภัยมากกว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภายใน เนื่องจากระดับ "น้ำทะเล" ที่เพิ่มสูงขึ้นและสภาพภูมิอากาศแปรปรวน 

          ทั้งนี้ ประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และจีน ในปัจจุบัน ต้องรับมือกับภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้นจากคลื่นพายุซัดฝั่ง (Storm Surge), น้ำล้นตลิ่ง และช่วงเวลาที่มีฝนตกหนัก

          "ศูนย์จัดการน้ำระดับโลก" ซึ่งตั้งอยู่ที่นครอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ กำลังบุกเบิกการใช้เซ็นเซอร์เพื่อตรวจสอบสภาวะของ "เขื่อนกันน้ำท่วม" ในแบบเรียลไทม์ ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการดำเนินโครงการในลักษณะดังกล่าว

          ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ในโครงการดังกล่าวทดลอง "พังเขื่อน กันน้ำ" ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดเพื่อวัดค่าในด้านต่าง ๆ ถึง 32 ล้านรายการ 


          กิจกรรมดังกล่าวทำขึ้นโดยครอบคลุมการวัดแรงดันน้ำ อุณหภูมิ และความเคลื่อนไหว และช่วยเพิ่มความสามารถในการคาดการณ์ว่า เขื่อนกันน้ำท่วมจะสามารถรับแรงดันได้มากเท่าใดก่อนที่จะพังทลาย ซึ่งประโยชน์ที่ได้จากการทดลองดังกล่าว จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดหรือป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยในอนาคตได้

ไก่แห่งฝรั่งเศส


สืบเนื่องจากฝรั่งเศสทุกวันนี้สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่เป็น ชาวโกลัวส์ (les Gaulois) แห่ง เผ่าโกล (Gaule) ผู้มี "ไก่" เป็นสัญลักษณ์ ทั้งนี้ จากการเล่นคำ โดย Gaulois เมื่อออกเสียงเป็นภาษาละติน เป็นคำว่า Gallus แปลว่า ไก่ตัวผู้




อดีตกาลชนกลุ่มนี้ย้ายถิ่นฐานไปหลายแห่ง แต่ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจหยุดและตั้งถิ่นฐานถาวรในบริเวณที่เป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศสปัจจุบัน ขณะที่ชนชาติที่ทรงอำนาจที่สุดในเวลานั้นคือโรมันแห่งโรม ความยิ่งใหญ่ทำให้ชนชาตินี้มั่นใจว่าตนเป็นชนชั้นปกครอง และมีอารยธรรมสูงกว่าชนเผ่าเร่ร่อน อื่นๆ ที่ยังไม่สามารถรวมกันเป็นอาณาจักรและมีระบบการปกครองแบบชาวโรมันได้ ประกอบกับมีกองทัพขนาดใหญ่ อาวุธทันสมัยที่สุด ชาวโรมันจึงครอบครองดินแดนทั่วทวีปยุโรปได้ และสร้างจักรวรรดิ ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยมีชนกลุ่มใดทำได้มาก่อน ทั้งนี้ ภาษาสากลของ ยุโรปยามนั้นคือภาษาละติน ที่ชนเผ่าใต้อาณัติทุกกลุ่มต้องสื่อสารได้



ชาวโรมันนี่เองที่เรียกโกลัวส์ว่า gallus เพราะออกเสียงและสะกด คล้ายคำ Gaule และ Gaulois ซึ่ง gallus หมายถึงไก่ตัวผู้ดังกล่าว นับแต่นั้นเผ่าโกลจึงคู่กับไก่ และเพราะโรมัน มักคิดว่าชนชาติตนอยู่เหนือผู้อื่น จึงเรียกพวกโกลว่าพวกไก่ด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยเสียดสี เพราะเห็นว่าชาวโกลัวส์เป็นคนเถื่อนไร้อารยธรรม ไม่เหมือนพวกตน พูดคุยเอะอะเสียงดัง มือไม้อยู่ไม่สุข และชอบทำท่ายืดคอเชิดมองฟ้าตลอดเวลา ดูไปเหมือนกับไก่ตัวผู้ที่โก่งคอขัน ปลุกผู้คนบนรั้วไม้ทุกเช้า แถมตลอดวันยังเดินคอตั้ง ไม่สนใจรอบ ข้าง ทั้งที่จริงๆ แล้วหน้าที่ของไก่ไม่ได้สำคัญอะไร ถึงไม่ปลุกคนก็ตื่นได้เอง ต่างกับชาวโรมัน พวกเขาเปรียบตนเองเป็นอินทรีที่แสน สง่างามและทรงอำนาจเหนือนกทั้งมวล รวมทั้งไก่




แต่อนิจจังไม่เที่ยง วันหนึ่งชน เผ่าโกลก็เข้มแข็งขึ้น ขณะที่โรมัน เริ่มอ่อนแอและเสื่อมลงตามกาลเวลา ชาวโกลัวส์สถาปนาระบบ กษัตริย์ขึ้น และกษัตริย์ก็ทรงเลือกไก่เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ ตอกกลับคำเสียดสีของโรมัน โดยสร้างภาพลักษณ์ให้ไก่ตัว ผู้เป็นสัตว์ที่กล้าหาญและเป็นเพื่อนกับพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระบิดาซึ่งทรงลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดาเพื่อทนทรมานไถ่บาปแก่มนุษย์ทุกคน

ทั้งนี้ พระคัมภีร์ไบเบิลบันทึกไว้ว่า ก่อนจะทรงถูกจับไปตรึงกาง เขน พระองค์พูดกับศิษย์หนึ่งในสิบสองคน คือ ปีเตอร์ ซึ่งต่อมาดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาองค์แรกของพระศาสนจักร ว่า นับตั้ง แต่นี้จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น จะมีคนถามว่าท่านเป็นศิษย์ของพระเยซูใช่หรือไม่ แล้วท่านนักบุญจะปฏิเสธว่าไม่เป็น ทั้งหมด 3 ครั้งก่อนเวลาไก่ขัน หรือยามเช้าวันรุ่งขึ้น ดังนั้น ไก่ตัวผู้จึงเป็นสัตว์ชนิดเดียว ที่ปรากฏในช่วงเวลาสำคัญเคียงข้างกับพระเยซูในช่วงสุดท้ายของชีวิต ขณะที่แม้ศิษย์ที่รักและไว้ใจที่สุดยังปฏิเสธพระองค์ถึง 3 ครั้งติดต่อกันภายในคืนเดียวเท่านั้น การร่วมทุกข์ของไก่คือการแสดงความกล้าหาญ ไม่เหมือนกับที่ชาวโรมันเสียดสี


วันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ.1830 "ไก่" ได้รับเกียรติให้ประดับอยู่บนกระดุมเครื่องแบบทหารและบนธงประจำเหล่า และแม้ชาวโกลัวส์จะเรียกขานตนเองใหม่ว่า ชาวฝรั่งเศส หรือ les Francais (เล ฟรองเซส์) "ไก่" หรือ Le Coq Gaulois ยังคงเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติเต็มภาคภูมิ




สัตว์ประจำชาติ



สัตว์ประจำชาติ : นกกระเรียน (ประเทศญี่ปุ่น)
นกกระเรียน (ประเทศญี่ปุ่น) 


สัตว์ประจำชาติ : หมีแพนด้า (ประเทศจีน
หมีแพนด้า (ประเทศจีน 



สัตว์ประจำชาติ : ตัวบีเวอร์ (ประเทศแคนนาดา)
ตัวบีเวอร์ (ประเทศแคนนาดา) 


สัตว์ประจำชาติ : สุนัขจิ้งจอก (ประเทศอังกฤษ
สุนัขจิ้งจอก (ประเทศอังกฤษ 



สัตว์ประจำชาติ : นกกีวี (ประเทศนิวซีแลนด์)
นกกีวี (ประเทศนิวซีแลนด์) 


สัตว์ประจำชาติ : เสือเบงกอ (ประเท
ศอินเดีย)
เสือเบงกอ (ประเทศอิ


สัตว์ประจำชาติ : จิงโจ้ (ประเทศออสเตยเลีย)
จิงโจ้ (ประเทศออสเตยเลีย) 


สัตว์ประจำชาติ : กระทิง (ประเทศสเปน)
กระทิง (ประเทศสเปน) 




สัตว์ประจำชาติ : คิวบา   จระเข้คิวบา
คิวบา จระเข้คิวบา 


สัตว์ประจำชาติ : ฝรั่งเศส ไก่รอสเตอร์
ฝรั่งเศส ไก่รอสเตอร์ 

สัตว์ประจำชาติ : ฝรั่งเศส ไก่รอสเตอร์


สัตว์ประจำชาติ : กัมพูชา กูปรี
กัมพูชา กูปรี 

สัตว์ประจำชาติ : กัมพูชา กูปรี


สัตว์ประจำชาติ : อินโดนีเซีย มังกรโคโมโด
อินโดนีเซีย มังกรโคโมโด 

สัตว์ประจำชาติ : อินโดนีเซีย มังกรโคโมโด

สัตว์ประจำชาติ : ทาคิน  ภูฏาน
ทาคิน ภูฏาน 

สัตว์ประจำชาติ : ทาคิน  ภูฏาน


สัตว์ประจำชาติ : หมี เกาหลีใต้
หมี เกาหลีใต้

สัตว์ประจำชาติ : หมี เกาหลีใต้

Les Guignols de l'info

    Les Guignols de l'info (English: News Puppets) is a satirical latex puppet show broadcast on Canal+, a French subscription-based television channel, the show being available without subscription. Hosted by a puppet facsimile of TF1 news anchor Patrick Poivre d'Arvor, Les Guignols is similar to the 1984–1996 British show Spitting Image. A segment appeared every weeknight on the Canal+ program Nulle part ailleurs, with a weekly recapitulation on Sundays ("La Semaine des Guignols", replay of the week's episodes). While Nulle part ailleurs no longer runs, the Guignols are still running inside the Canal+ TV Show Le Grand Journal.

The show started in 1988 as Les Arènes de l'info (News Arena). It originally did not follow the news of the day and was not very popular. It was not until 1990–1991 and the first Gulf War that the show began to follow the news. It enjoyed a tremendous growth in popularity and quickly eclipsed its rival, Le Bébête Show.




Impact on popular culture

The Guignols have had a tremendous impact on French popular culture, in many case introducing or popularizing phrases. For instance, à l'insu de mon plein gré ("without the knowledge of my own free will"), repeated by the puppet representing Richard Virenque is now attributed in jest to people who hypocritically deny having willfully committed attributed acts. The impact of political caricature in the Guignols is unclear, but some polls have shown that they influence voters.[1]

The show is known to be able to go further in challenging current popular figures and thought than many other forms of media. Some sketches displayed for example Raymond Barre, a former Prime Minister in a gonzo pornographic scene, President Jacques Chirac and his team in a Pulp Fiction–like destruction race to eliminate their competitors or the then Minister of Interior Department Nicolas Sarkozy as a flip-flopping politician.

The Guignols generally displays a left political outlook (although being tough on whoever is in power). While they generally focus on French politics, they occasionally parody international events, often concerning terrorism, including Osama Bin Laden, the Iraq conflict and Saddam Hussein, and United States foreign policy in general. These spoofs on international events are usually presented in an anti-Bush manner, mocking the fact that grey eminences lead the politic, not the president himself. They also sometimes mock Canal+ and its staff as for their former football club




Famous characters

The characters in the Guignols are either inspired by real personalities of the political, economic and artistic worlds (generally, by anybody who appears in the news) or else are fictional.
PPD is a caricature of Patrick Poivre d'Arvor (aka PPDA), a news anchor. He is depicted as a rather cowardly journalist who tries to get on with the mighty and the powerful, but who uses irony and sarcasm to get his point across. He also sports a variety of hairstyles, trying to mask his receding hairline. Despite the end of the news anchor career of Patrick Poivre d'Arvor, PPD isn't retired.
Commandant Sylvestre, M. Sylvestre and Cardinal Sylvestre are fictional characters based on the American actor Sylvester Stallone (although when Sylvester Stallone himself is represented, or represented as Rambo, he has a different appearance and a different voice). They are a parody of "an ugly American" and of greedy multinationals and the military-industrial complex. They always say "Beuuarhh" instead of "Bonsoir" French pronunciation: [bɔ̃.swaʁ] (Good evening) as a salute. During the first Gulf War, the Guignols had a character called Commandant Sylvestre. Cmdt Sylvestre would explain the war in broad terms ("Here's the good guys, that's us, and here are the ragheads, so we'll kill everybody there...") After the war, Cmdt Sylvestre was reintroduced as Mr Sylvestre, a ubiquitous executive from the military-industrial complex, the corporate world (all mixed into the fictional corporation World Company), and the CIA. Sylvestre is dressed in suit and tie and wears a security badge. He is assisted by clones of himself. His appearance is a blend of Sylvester Stallone and Al Pacino (mainly the lower part of his face). Cardinal Sylvestre, joined with Reverend Sylvestre, Imam Sylvestre, Rabbi Sylvestre and other religious leaders, form the Church Company, twin sister of the World Company specialized in "religious business". Since the beginning of the European economic crisis, Mr. Sylvestre is often an Moody's analyst. Mr. Sylvestre is a caricature of globalization and is very cynical.
Jacques Chirac French president between 1995 and 2007, is depicted as a beer-guzzling, impulsive, incompetent liar who embezzles public money and yet comes off as charming, charismatic, and well-loved. The Guignols went as far as to introduce Super Menteur (Super-Liar), a super hero, into whom Jacques Chirac changes in times of need (see Clark Kent/Superman). Super Menteur is capable of uttering unbelievable lies without getting caught. Only one person is a better liar, Ultra menteur (Ultra-Liar), portrayed by French retired politician Charles Pasqua who has been convicted in some corruption cases.
George W. Bush is depicted as a cretin along with his father. He shows a tendency to war and fights terrorism in his bedroom, defending himself with hand grenades (beer cans). His laptop password is "connard" (one of the French words for "dumbass").
Joey Starr and Doc Gynéco: The rapper Joey Starr, convicted of violence, is portrayed as a brutal individual. He is often coupled with rapper Doc Gynéco to discuss the consumption of cannabis.
Bernard Tapie is represented as a bully, speaking in a vulgar way.
Jean Marie Le Pen when he was the French FN (Front National) political party leader (French far-right party). He was represented with a pitbull's head. Since the handover to one of his daughters, Marine Le Pen, his puppet appears rarely, usually as the éminence grise of Marine Le Pen.
José Maria Aznar Former Prime Minister of Spain Jose Maria Aznar. Represented as a law and science student closer to people, but when one of his ministers as Abel Matutes, Javier Arenas, Isabel Tocino or Rodrigo Rato get mad, it explodes. It is a centrist convinced (parody of that once in power the Popular Party, went to turn it into a conservative party with a moderate party). Due to the end of his political career, he no-longer appears.
Philippe Lucas, a former trainer of the French Olympic, world and European champion swimmer Laure Manaudou, as a heavily muscled, homophobic guy who criticizes most of French athletes, suspected of physical and mental weakness. He always ends his critics by the reply Et pis c'est tout !, incorrect contraction of Et puis c'est tout (And that's it).
Bernard Laporte, a former authoritarian rugby scrum half, coach (both club teams and national team), French Secretary of State for Sport and today rugby coach again. He only appears to glorify violence in rugby, described as the valeurs de l'ovalie (values of rugby) with many hyperboles (open fractures, neck cracking, enucleations, coma, crowbar fighting ambush ...).
In recent political history, the Guignols have regularly portrayed:
Former Prime Minister Lionel Jospin as competent and honest but boring. He's depicted as disappointed by France (he passes, time to time, to say "pays de merde", which can be translated roughly as "this country sucks"), since the first round of the French 2002 presidential election when he couldn't qualify;
a former Minister of Health, Youth Affairs and Sports Roselyne Bachelot-Narquin as an incompetent airhead. She usually answers to questions with a "Ah booooooon?... Vrraaaiiiiment ?" - (um, Okaaaay, reeaaaally?) as she's clueless about her own ministry;
The former president Nicolas Sarkozy as overly ambitious and populist and short-tempered. He collects Rolex watches and keeps diverting attention to his wife, Carla Bruni, who's "so beautiful cause she's so talented cause she sings so well cause she's so his wife". Like the real politician, he is complexed with his small size and always wear shoes with high soles to seem bigger;
Former President Valéry Giscard d'Estaing as dogmatic and repetitive, usually seen wearing his green habit vert (ceremonial dress), as he is a member of the Académie Française. One running gag is that Giscard d'Estaing is dead but too stubborn to admit it.
Ségolène Royal, the Socialist Party candidate for the 2007 presidential election, as constantly following opinion polls and pretending to be a woman of the people.
François Bayrou, the centrist 2012 candidate for France's presidency who has delusions of grandeur. His huge-eared puppet is childish and whiny.
Current President François Hollande, elected in 2012 as the Socialist Party candidate, as an overweight politician who lacks charisma.
Nadine Morano, a very scurrilous and rough politician, who unconditionally supports Nicolas Sarkozy, often alongside David Douillet, a former world champion in judo, Minister of Sports, described in the guignols as a very silly man.
Marine Le Pen, the daughter of Jean Marie Le Pen and his successor to the FN presidency.
Angela Merkel, the German chancellor, who is accused, since the end of 2011, of controlling the whole European Union.



he Guignols have been criticised for being leftist and populist and for presenting a cynical and over-simplified version of reality and politics. The show's authors have admitted leftist leanings.[citation needed] One critic, Erik Svane, has accused the show of being anti-American.
After the departure of two of the original authors in the late 1990s, the show has been criticized as lacking wit and freshness and having become too overtly populist and partisan. Some critics claim that the show is in decline.[3] The show's treatment of Nicolas Sarkozy has been criticized as biased.[4] Bruno Gaccio, prior to the French presidential election of 2007, was said to have admitted that he meant the Guignols to openly campaign against Sarkozy, but later stated that he had been misquoted.[citation needed] In February 2012 the controversy jumped by three polemical videos to Spanish sportspeople. In the first video, Rafael Nadal (Spanish tennis player known), drinking water in a gas station, and urinated in place to refuel, and his car reached the speed of 280 km / h, when French gendarmes arrested him for speeding, and at the end reading "the Spanish athletes do not win by chance." In another video, Alberto Contador, the Tour de France champion, was the butt of jokes, saying the video that not only if you donate blood you can save a child with leukemia, an anemic or a victim of trafficking, but he can win the Tour de France. In the third video, Iker Casillas, Pau Gasol and Rafael Nadal signed a document with needles instead of pens. After hearing this, several Spanish sportspeople have demanded the program with 54,534 euros plus 96 euros compensation for moral damages. Some analysts believe that relations between France and Spain will become more rough by these parodies, since Spain "are considered aberrant," and France says "everyone can express their opinions.".



Elsewhere
The XYZ Show is the Kenyan equivalent of the French original.
Les Guignols d'Afrique is the Cameroonian equivalent of the French original.
Las noticias del guiñol is a show in Spanish Canal+ inspired by Les Guignols. It focuses on Spanish politics and football.
Contra Informação is a long-running Portuguese equivalent broadcast on RTP1. It was cancelled on 2010.
ContraPoder is an updated version of Contra Informação. It was premiered on March 2013 in the cable channels SIC Notícias and SIC Radical.
ZANews is the South African equivalent of the French original.
Programs of the Guignols family exchange latex moulds, and puppets representing foreign celebrities can be used as "normal people" in countries where the celebrity is not known.
See also

Guignol
Le Bébête Show, an earlier show
Groland
Et Dieu créa Laflaque
Spitting Image
The Wrong Coast
The Daily Show
This Hour Has 22 Minutes


Riviera







รูปถ่าย อิตาลี(Italy) ริเวียร่า(Riviera) 2000-12 1 - อาคาร ริเวียร่า(Riviera)

รูปถ่าย อิตาลี(Italy) ริเวียร่า(Riviera) 2000-12 2 - การตลาด ริเวียร่า(Riviera)
รูปถ่าย อิตาลี(Italy) ริเวียร่า(Riviera) 2000-12 5 - เอเชีย ริเวียร่า(Riviera)
รูปถ่าย อิตาลี(Italy) ริเวียร่า(Riviera) 2000-12 9 - การเดินทาง ริเวียร่า(Riviera)
รูปถ่าย อิตาลี(Italy) ริเวียร่า(Riviera) 2000-12 11 - ยามคำ่คืน ริเวียร่า(Riviera)







10 สถานที่ ที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนปารีส

1. การนั่งรถทัวร์ชมกรุง (Double Decker Bus Tour)

            การนั่งรถทัวร์ชมกรุงเป็นสิ่งที่คุณควรทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวที่มาปารีสเป็นครั้งแรก เพราะที่นี่จะมีรถทัวร์ที่เรียกกันว่า L'Open ทัวร์ ซึ่งเป็นรถทัวร์ที่มีดาดฟ้าอยู่ข้างบน เพื่อให้คุณได้ชมเมืองปารีสอย่างไม่มีอะไรบดบังสายตาเลย

            นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋ววันเดียวหรือสองวันก็ได้ สำหรับการนั่งรถชมเมืองใน 4 เส้นทาง โดยทันทีที่คุณซื้อตั๋วแล้ว ทางรถทัวร์จะมีชุดหูฟังให้คุณ เพื่อใช้ในการเสียบต่อกับแจ็คที่อยู่บริเวณด้านข้างของเบาะที่นั่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถฟังบรรยายไปตลอดการเดินทาง โดยเลือกฟังได้ถึง 8 ภาษา คือ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอิตาลี ภาษาเยอรมัน ภาษาสเปน ภาษารัวเซีย และภาษาจีน 





นั่งรถชมกรุง

            สำหรับเคล็ดลับในการนั่งรถทัวร์ชมกรุงปารีสนั้น แนะนำให้คุณลองใช้บริการในวันธรรมดาหรือเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์จะดีที่สุด เพราะหากใช้บริการในช่วงเวลาอื่นคนจะแน่นมาก และคุณอาจจะได้ยืนในห้องยืนที่จัดไว้รองรับเวลาที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก นอกจากนี้ หากคุณใช้บริการช่วงคนน้อย คุณสามารถที่จะเปลี่ยนแจ็กหูฟังของคุณได้ในกรณีที่ใช้หูฟังต่อกับแจ็กบางตัวไม่ได้อีกด้วย

         

            2. ชมทิวทัศน์จากด้านบนของหอไอเฟล (Eiffel Tower)

            หอไอเฟลไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองปารีสเท่านั้น หากแต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสด้วย ดังนั้น หากนักท่องเที่ยวคนใดไม่ได้ไปเยือนหอไอเฟล ถือว่าไปไม่ถึงฝรั่งเศสเลยทีเดียว ทำให้ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวกว่า 60 ล้านคน ไปเยือนหอไอเฟล โดยนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชมทัศนียภาพรอบกรุงปารีสได้ เพียงแค่ซื้อบัตรที่บูธซึ่งอยู่บริเวณฐานของหอไอเฟล แล้วขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นต่าง ๆ ของหอไอเฟล

หอไอเฟล
หอไอเฟล

            และด้วยความที่หอไอเฟลมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก (โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน) แนะนำให้คุณไปเที่ยวชมช่วงเช้าหรือหลัง 6 โมงเย็น หรือในวันธรรมดา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรอคิวเป็นเวลานาน 






            3. ล่องเรือในแม่น้ำเซน ชมพระอาทิตย์ตกดิน (Sunset River Cruise on the Seine)

            การล่องเรือในยามใกล้ค่ำเป็นทางเลือกที่ดีมาก หากคุณอยากจะชมทิวทัศน์ยามราตรีของกรุงปารีส โดยเรือจะล่องจากหอไอเฟล ผ่านสถานที่ที่น่าสนใจสองฝั่งแม่น้ำเซน รวมถึงผ่านโบสถ์นอทเทอร์ดัมด้วย 


แม่น้ำเซน


            สำหรับเคล็ดลับของการนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกดินนั้น แนะนำให้คุณไปก่อนเวลาขายตั๋ว เพื่อที่จะได้เลือกที่นั่งหลังก่อนนักท่องเที่ยวคนอื่น ซึ่งที่นั่งด้านหลังสุดนี้จะเป็นบริเวณที่ไม่มีหลังคา ไม่ล้อมด้วยกระจก และบริเวณนี้คือจุดที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพสวย ๆ ของเมืองปารีสยามพระอาทิตย์ตก





            4. โบสถ์นอทเทอร์ดัม (Notre Dame Cathedral)

            โบสถ์นอทเทอร์ดัมเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของกรุงปารีส เพราะเป็นสถานที่ที่อยู่คู่กับเมืองปารีสมาช้านาน และมีชื่อเสียงด้านความใหญ่โตหรูหรา มีสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก โดยการเที่ยวชมนั้นนักท่องเที่ยวจะได้เห็นความอลังการของโบสถ์นอทเทอร์ดัม อีกทั้งยังต้องขึ้นบันได 387 ขั้นเพื่อไปถึงยอดของโบสถ์

โบสถ์นอทเทอร์ดัม
โบสถ์นอทเทอร์ดัม


            ส่วนเคล็ดลับในการชมโบสถ์นอทเทอร์ดัมนั้น แนะนำให้คุณไปเยี่ยมชมช่วงเช้า เพราะดวงอาทิตย์จะส่องกระทบกับซุ้มประตูทางทิศตะวันตกของโบสถ์ มองดูแล้วเหมือนเป็นประกายเพชรที่ระยิบระยับจับตา เพิ่มความหรูหราให้กับโบสถ์ได้เยอะเลยทีเดียว





            5. โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์ (Sainte Chapelle)

            ถัดจากโบสถ์นอทเทอร์ดัม มีโบสถ์แซงต์ ชาแปลล์ ซึ่งเป็นโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวปารีส สร้างในสไตล์กอธิค มีการประดัประดาด้วยกระจกสวยงามมากมาย จนนักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมชมต่างยอมรับว่ากระจกที่ใช้ตกแต่งโบสถ์มีความงดงามที่สุด ยิ่งเมื่อแสงจากภายนอกส่องเข้ามา ยิ่งทำให้มองเห็นลายกระจกชัดเจนและสวยงามมาก

โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์
โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์


โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์
โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์


            สำหรับคำแนะนำในการเยี่ยมชม ควรเยี่ยมชมช่วงเช้าดีที่สุด เพราะนักท่องเที่ยวไม่เยอะ หากไปช่วงอื่นต้องรอคิวเยี่ยมชม เพราะโบสถ์แซงต์ ชาแปลล์เป็นโบสถ์ขนาดเล็กมาก






            6. ถนนฌ็องเซลิเซ่ และประตูชัยนโปเลียน (Champs Elysees & Arc de Triomphe)

            ถนนฌ็องเซลิเซ่ เป็นถนนที่มีความสวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดในกรุงปารีส นักท่องเที่ยวสามารถเดินตามถนนสายนี้ไปสู่ประตูชัยนโปเลียน ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญในกรุงปารีส และที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมชั้นบนของประตูชัยได้ โดยเดินขั้นบันได 284 ขั้น หรือใช้ลิฟต์

ถนนฌ็องเซลิเซ่ และประตูชัยนโปเลียน
ถนนฌ็องเซลิเซ่ และประตูชัยนโปเลียน



          7.  เลแซงวาลิด (Les Invalides (Napoleon's Tomb))


            เลแซงวาลิด เป็นอาคารที่ฝังพระศพของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ซึ่งมีศพนายพลพระสหายของพระเจ้านโปเลียนอีกหลายคนฝังอยู่ด้วย ตัวอาคารมีโดมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นโดมที่สวยงามที่สุดในกรุงปารีส นอกจากนี้ ยังมีศิลปะมากมายจัดแสดงอยู่ในนั้นอีกด้วย
เลแซงวาลิด





            8. พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ (Musee d'Orsay)

            พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมศิลปะหลายอย่างเข้าด้วยกัน อันได้แก่ ศิลปะด้านการออกแบบสิ่งทอ ศิลปะทางประวัติศาสตร์ ภาพถ่าย ประติมากรรม ซึ่งสะท้อนเอกลักษณ์ของปารีสออกมาได้เด่นชัดเลยทีเดียว

พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์
พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์


            สำหรับเคล็ดลับในการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ ควรใช้เวลามากหน่อยเพื่อศึกษาศิลปะต่าง ๆ ที่จัดแสดงอยู่ทั้ง 3 ชั้นของพิพิธภัณฑ์ และที่ไม่ควรพลาดคือ ร้านอาหารที่มีหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ให้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำเซนได้อย่างเต็ม ๆ ตา





            9. พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (The Louvre)
            เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เคยเป็นพระราชวังหลวงมาก่อน จัดแสดงศิลปะที่มีคุณค่าระดับโลกมากมาย เช่น ภาพเขียนโมนาลิซ่า ผลงานของต่าง ๆ ของเลโอนาร์โด ดาวินซีแลอเล็กซานดรอส นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมมากที่สุดในกรุงปารีส ดังนั้น คุณจึงไม่ควรพลาดในการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ลูฟร์แห่งนี้
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์





            10. มงต์มาร์ทร์ (Montmarte & Sacre Couer Basilica)

            มงต์มาร์ทร์เป็นหุบเขาสูง 130 เมตร ทางเหนือของปารีสและเป็นจุดที่สูงที่สุดของเมือง บนเขาเป็นที่ตั้งของโบสถ์ซาเครเกอร์ สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานที่อุทิศแด่ชาวฝรั่งเศส ที่เสียชีวิตจากสงครามกับปรัสเซีย ออกแบบตามแบบศิลปะสไตล์โรมัน - ไบเซนไทน์ ซึ่งมีความอลังการและงดงามมาก
มงต์มาร์ทร์






            และนี่ก็คือ 10 สถานที่ท่องเที่ยว ที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมอันเป็นมรดกของชาวปารีส หากคุณเป็นอีกคนที่มีเวลาจำกัดในการท่องเที่ยว ลองวางแผนการเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ดู เชื่อเถอะว่า หากคุณได้ไปเยือนแล้ว คุณจะได้ชื่อว่าเป็น "ผู้มาเยือน" ปารีสอย่างแท้จริง

อี.ที. เพื่อนรัก

อี.ที. เพื่อนรัก


อี.ที. เพื่อนรัก (อังกฤษ: E.T. the Extra-Terrestrial) เป็นภาพยนตร์ไซไฟ-แฟนตาซี ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2525 เป็นผลงานกำกับลำดับที่ 5 ของสตีเวน สปีลเบิร์ก เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กชายชื่อ เอลเลียต ที่ได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่ตกค้างอยู่บนโลก หลังจากยานอวกาศต้องเดินทางออกจากโลกอย่างกะทันหัน เอลเลียตเรียกมนุษย์ต่างดาวตนนั้นว่า "อี.ที." พากลับมาพักอาศัยที่บ้าน โดยปกปิดไม่ให้แม่รู้ และช่วย อี.ที. สร้างเครื่องส่งสัญญาณวิทยุกลับไปในอวกาศ เพื่อแจ้งให้ยานแม่กลับมารับ และหลบหนีการตามล่าจากเจ้าหน้าที่รัฐบาล ที่ต้องการตัว อี.ที. เพื่อไปทำการวิจัย
เดิมทีโครงการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นการสร้างภาพยนตร์ไซไฟ-สยองขวัญ ชื่อเรื่อง "Night Skies" เพื่อเป็นภาคต่อของภาพยนตร์ Close Encounters of the Third Kind โดยโคลัมเบียพิกเจอส์ สตีเวน สปีลเบิร์ก ได้พัฒนาบทภาพยนตร์ร่วมกับ เมลิสสา แมททีสัน ภรรยาของแฮริสัน ฟอร์ด โดยใช้โครงเรื่องจากจินตนาการในวัยเด็กของเขาเอง รวมถึงประสบการณ์จริง ที่เกิดในครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างกัน
หลังจากออกฉาย ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ทำรายได้จากการฉายในโรงถึง 359 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะในสหรัฐอเมริกา [1] ทำลายสถิติของสตาร์วอร์ส ที่เป็นอันดับหนึ่งอยู่ก่อนหน้านั้น
ภาพยนตร์ถูกนำมาฉายซ้ำในปี พ.ศ. 2528 และในปี พ.ศ. 2545 ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของภาพยนตร์ โดยมีการใช้เทคนิคคอมพิวเตอร์กราฟิก เพิ่มเติมฉากที่ไม่สามารถสร้างได้ก่อนหน้านั้น เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยี ในการฉายรอบปฐมทัศน์ฉบับครบรอบยี่สิบปี เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2545 ใช้วงออเคสตราบรรเลงเพลงประกอบพร้อมกับการฉายภาพยนตร์ โดยวงลอสแอนเจลิสฟิลฮาร์โมนิกออเคสตรา อำนวยเพลงโดย จอห์น วิลเลียมส์

อี.ที. เพื่อนรัก
E.T. the Extra-Terrestrial

กำกับโดย สตีเวน สปีลเบิร์ก
อำนวยการสร้างโดย สตีเวน สปีลเบิร์ก
แคทลีน เคเนดี
เขียนโดย เมลิสสา แมททีสัน
นำแสดงโดย เฮนรี โทมัส
ดี วอลเลซ
โรเบิร์ต แมคนอตตัน
ดรูว์ แบรีมอร์
ปีเตอร์ ไคโยตี
เพลงประกอบ
ภาพยนตร์โดย จอห์น วิลเลียมส์
กำกับภาพโดย Allen Daviau
ตัดต่อโดย Carol Littleton
จัดจำหน่ายโดย ยูนิเวอร์แซล
ฉาย 11 มิถุนายน ค.ศ. 1982
ความยาว 115 นาที (ฉบับปี 1982)
120 นาที (ฉบับปี 2002)
ประเทศ ธงของสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกา
ภาษา อังกฤษ
งบประมาณ $10,500,000
รายได้ $792,910,554